เมนู

ทราบว่า ท่านพระจิตกปูชกเถระได้กล่าคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบจิตกปูชกเถราปทาน

116. อรรถกถาจิตกปูชกเถราปทาน


อปทานของท่านพระจิตกปูชกเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า วสามิ
ราชายตเน
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระพุทธเจ้า
พระองค์ก่อน ๆ เบื้องหน้าแต่ที่ได้เกิดแล้วในภพ จะสร้างสมแต่บุญอัน
เป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม
ว่า สิขี ได้เกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ประจำไม้เกด ในระหว่างนั้น ได้ฟังธรรม
ร่วมกับพวกเทวดา เลื่อมใสแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว
ตนพร้อมกับบริวารช่วยกันถือของหอม เทียน ธูป ดอกไม้ และเภรี
เป็นต้น ไปยังสถานที่ประชุมเพลิงพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว บูชาด้วยเทียนเป็นต้นแล้ว ก็บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ด้วยดนตรีและสังคีตนานาชนิด. ตั้งแต่นั้นมา ถึงตนเองจะกลับไปยังภพ
ของตนแล้วก็ตาม ยังคงระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเหมือนเดิม คล้ายกับ
ว่ากำลังถวายบังคมอยู่เฉพาะพระพักตร์. ด้วยบุญนั้นนั่นแหละ เทพบุตร
นั้นมีจิตเลื่อมใส จุติจากต้นเกดไปเกิดยังภพมีภพดุสิตเป็นต้น เสวย
ทิพยสมบัติแล้ว ต่อแต่นั้น (ก็ได้มาเกิด) ในมนุษย์ เสวยมนุษยสมบัติ
ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มาเกิดในเรือนที่มีสกุล พอบรรลุนิติภาวะ

แล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงบวชในพระศาสนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์.
ในกาลต่อมา ท่านได้ระลึกถึงบุพกรรมของตนได้ เกิดความ
โสมนัส เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน
จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า วสามิ ราชายตเน ดังนี้. บทว่า ราชายตเน
ได้แก่ ที่อยู่ของพวกเทวดา ชื่อราชายตนะ. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า
ราชายตนะนั้น เป็นชื่อของต้นไม้. บทว่า ปรินิพฺพุเต ภควติ เชื่อมความ
ว่า ในเวลาดับขันธปรินิพพานไม่มีอะไรเหลือโดยรอบ แห่งพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์แห่งโลก พระนามว่า สิขี ผู้ปรินิพพานแล้ว. บทว่า
จิตกํ อคมาสหํ วิเคราะห์ว่า ชื่อว่า จิตะ เพราะเป็นสถานที่ที่พวก
คนก่อทำให้เป็นกองด้วยไม้หอม มีไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้เทพทาโร
ไม้การบูร และไม้กระวานเป็นต้น. จิตะนั่นแหละ เป็นจิตกะ. อธิบายว่า
ข้าพเจ้าได้ไปยังที่ใกล้จิตกาธาร เพื่อบูชาจิตกาธารด้วยความเคารพใน
พระพุทธเจ้า. เมื่อจะแสดงถึงหน้าที่ที่ตนไปกระทำในที่นั้น จึงกล่าว
คำเป็นต้นว่า ตุริยํ ตตฺถ วาเทตฺวา ดังนี้. คำที่เหลือทั้งหมดนั้น บัณฑิต
พอจะรู้ได้เองโดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาจิตกปูชกเถราปทาน

พุทธสัญญาเถราปทานที่ 7 (117)


ว่าด้วยผลแห่งประกาศพุทธานุภาพ


[119] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้เลิศในโลก
ทรงปลงพระชนมายุสังขารนั้น พื้นแผ่นดินและน้ำก็หวั่นไหว
ฟ้าก็คะนอง แม้ภพของเรา ที่ทั้งสูงใหญ่และกว้างขวางอัน
ประดับตกแต่งดีแล้ว ก็หวั่นไหว ในขณะที่พระพุทธเจ้าทรง
ปลงพระชนมายุ.

เมื่อภพหวั่นไหวแล้ว ความสะดุ้งกลัวก็เกิดขึ้นแก่เราว่า
ความหวั่นไหวเกิดขึ้นเพื่ออะไรหนอ แสงสว่างอันไพบูลย์
ได้มีแล้ว.

ท้าวเวสวัณมา ณ ที่นี้แล้ว ยังเทพบุตรให้หายความเศร้า
โศกว่า สัตว์ไม่มีภัย ท่านทั้งหลายจงมีความตั้งใจเคารพ
เถิด.

และกล่าวว่า โอ พระพุทธเจ้า โอ พระธรรม โอ
พวกเราถึงพร้อมด้วยสัตถุศาสน์หนอ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ
แผ่นดินก็หวั่นไหวดังนี้ ครั้นประกาศพระพุทธานุภาพแล้ว
ให้เทพบุตรบันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัป เราได้ทำกุศลแล้ว.

ในกัปที่ 91 แต่กัปนี้ เราได้สัญญาใดในกาลนั้น ด้วย
สัญญานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งสัญญาใน
พระพุทธเจ้า.

ในกัปที่ 14 แต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประเสริฐ
มีนามชื่อว่าสมิตะ มีพละมาก.